ท็อปส์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเปิดตัวโครงการ “รับซื้อสินค้าตรงจากเกษตรกรและชุมชน บริหารการขนส่งผ่านเครือข่ายรถส่งสินค้า (Backhaul)”
เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ผู้บริหาร ท็อปส์ และ แฟมิลี่มาร์ท ในเครือเซ็นทรัล รีเทล ตอกย้ำวิสัยทัศน์ ตามที่กลุ่มเซ็นทรัลเสนอนโยบายต่อรัฐบาล มุ่งเน้นความรับผิดชอบสังคม บูรณาการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ผ่านมาตรการสร้างอาชีพ เสริมรายได้ เปิดตัวโครงการ “รับซื้อสินค้าตรงจากเกษตรกรและชุมชน บริหารการขนส่งผ่านเครือข่ายรถส่งสินค้า (Backhaul)” โดยใช้ประโยชน์สูงสุดจากระบบโลจิสติกส์ ช่วยเหลือเกษตรกรทั่วประเทศลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า บูรณาการให้เกิดความยั่งยืนกับเกษตรกรและเศรษฐกิจของไทยก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19
นางสาวเมทินี พิศุทธิ์สินธพ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เซ็นทรัล ฟู้ด รีเทล ในเครือเซ็นทรัล รีเทล กล่าวถึงที่มาของ โครงการ “รับซื้อสินค้าตรงจากเกษตรกรและชุมชน บริหารการขนส่งผ่านเครือข่ายรถส่งสินค้า Backhaul” เป็นการนำศักยภาพการบริหารจัดการผ่านเครือข่ายรถขนส่งสินค้าไปยังร้านท็อปส์ทุกสาขาทั่วประเทศ ซึ่งปกติต้องตีรถเที่ยวเปล่ากลับไปยังศูนย์กระจายสินค้าในกรุงเทพฯ ทำให้เกิดแนวคิดเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ประกอบการรายย่อย ลดต้นทุนการส่งสินค้า สามารถส่งผลผลิตต่อครั้งได้มากขึ้น ใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากการขนส่งให้คุ้มค่า โดยนำจุดแข็งด้านระบบโลจิสติกส์ของบริษัทฯ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเราพบว่าเกษตรกรประสบปัญหาต่าง ๆ เช่น ช่องทางการจำหน่ายสินค้าลดลง ความไม่สะดวกในการเดินทางเพื่อขนส่งสินค้าเนื่องจากติดช่วงเวลาเคอร์ฟิว ประสบปัญหาด้านการส่งออก ปัญหาด้านแรงงาน โครงการดังกล่าวจึงเข้ามาเติมเต็มและแก้ไขปัญหาให้กับเกษตรกรได้อย่างถูกจังหวะและเวลา
การขนส่งสินค้าโดยใช้รถ backhaul เป็นการใช้อุปกรณ์และองค์ความรู้ ความชำนาญ ที่มีในการบริหารจัดการขนส่ง ทั้งระบบมีการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมเพื่อรักษาคุณภาพจากต้นทาง (เกษตรกร) ไปจนถึงปลายทาง (ผู้บริโภค) โดยเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะรวบรวมผลผลิตนำขึ้นรถขนส่งสินค้าท็อปส์ เพื่อนำกลับไปยังศูนย์กระจายสินค้าอาหารสดและรอกระจายไปจำหน่ายยังสาขาต่างๆ สำหรับปริมาณการขนส่งต่อรอบขึ้นอยู่กับชนิดสินค้า เช่น ผลไม้ ประมาณ 5-6 ตันต่อรอบ หรือผักประมาณ 2-3 ตันต่อรอบ จากการดำเนินโครงการที่ผ่านมาพบว่าเกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรหลายด้าน ได้แก่ 1. ลดต้นทุนค่าขนส่งสินค้า เกษตรกรสามารถขนส่งสินค้าได้จำนวนมากในเวลาจำกัด 2. ลดต้นทุนด้านแรงงาน ไม่ต้องจ้างคนเพิ่มในการดูแลขนส่งสินค้า 3. ประหยัดเวลา เมื่อมีรถไปรับสินค้าถึงที่ทำให้เกษตรกรมีเวลาเพิ่มขึ้นไปดูแลผลผลิตให้มีคุณภาพ ได้มาตรฐานที่ดีขึ้น 4. สร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพราะสามารถส่งผลผลิตไปจำหน่ายได้มากขึ้นต่อการขนส่งแต่ละรอบ 5. ลดความเสี่ยงจากโควิด-19 ไม่ต้องเดินทางข้ามจังหวัดเพื่อขนส่งสินค้า และอีกหนึ่งประโยชน์สูงสุดต่อสิ่งแวดล้อมคือ เกิดการใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการขนส่ง อ่านเพิ่มเติม